SARANYA

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552


ปริศนา…???...เลขบัตรประชาชน 13 หลัก
อยากรู้มั๊ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร...???...กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้นำมาเสนอ
เพื่อเป็นความรู้ ดังนี้ สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรคตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้
หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่ง
มีอยู่ 8 ประเภทได้แก่
ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และ
จะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัว ขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี
ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า
ประเภทที่ 3 คือ คนไทย และคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3
เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น
3 1001 01245 29 9
ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า
คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้าน
ไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่
ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ
ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อเข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจหรือกรณีอื่น ๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น5 1001 01245 29 9
ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12
ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติ จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น
7 1012 2345 133
ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7 คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2
จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติ
เล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้
ต่อไปคือหลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่อ
อยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10 ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร
ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น
สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทาง
สำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึงเล่มที่ของสูติบัตร(ใบแจ้งเกิดที่อำเภอ
หรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฏในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง
แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น
หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคน
ที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้น ๆ
หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของ เลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที
สำหรับเลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คง
ม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่า ๆ เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลัก ที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น
และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่ม ๆ ในแต่ละประเภท
อีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548
ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้น
ใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กินอาหารให้เป็นยา : แต่อย่ากินยาให้เป็นอาหาร

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือ ชื่อ
"ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ" เช่น

1.ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ
กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2.แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3.โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4.โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5.โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6.โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ)
ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7.ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้า
หายไป
8.ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่า
แบคทีเรียได้
9.โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตก
กังวล และความคิดสับสนได้
10.โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กิน สับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก
ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11.ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอย นางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุง
สมองได้ดี
12.เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13.ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี
ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก
เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิด
เล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว "คลอเลสเตอรอล" ได้ทำให้ระดับความดัน
เลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะ
อิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิด
ต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทย นั้น นับเป็นหนึ่ง
ในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้
ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวย
ผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้
นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้
เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.
14.มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
15.มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16.แผลในกระเพาะอาหารกินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
หายขาดได้
17.โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
18.เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี "โมโรอันแซตเทอเรต"
19.ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
20.น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง

คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1.มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จ ะรู้ได้ มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
2.มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ
3.มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4.มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5.มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6.มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็น
ได้ชัด
7.มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัส สาว ะ
8.มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9.มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10.มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
11.มะเร็งในกระเพาะอาหาร
12.มะเร็งทรวงอก - ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัส สาว ะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13.มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15.มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
***ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา***
และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธา และกุศลจิตของท่าน
ท่าน และครอบครัวจะประสบแต่ความสุข

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ได้รับรู้จากการเรียน วิชา การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ (ครั้งที่ 4)

วิชา การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ (ครั้งที่ 4)

ภาพความประทับใจ





ได้มีโอกาสไปเที่ยวชมพระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา
(พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์) และสถานปฏิบัติธรรม
วัดญาณสังวราราม บริเวณเขาชีจรรย์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยประชาชนชาวไทยทั่ว ประเทศ สามัคคีร่วมใจกันจัดสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลเดช
รัชกาลที่ 9 แห่งบรมราชจักกรีวงศ์ ในวาระมหามงคลที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
รู้สึกมีความประทับใจ ในความร่มรื่นสวยงามของสถานที่
แนวคิด และความสามารถ ของผู้ที่ได้สร้างพระพุทธรูปและ
สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ขึ้นมา ซึ่งสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ภายในประเทศ ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง








สถานที่ : Silverlake จังหวัดชลบุรี เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความสวยงามน่าประทับใจ






วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ได้รับรู้จากการเรียนวิชา การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ (ครั้งที่ 2)

สิ่งที่ได้รับรู้จากการเรียนการสอน
วิชา การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ (ครั้งที่ 2)
บทที่ 3 การสร้างระบบสารสนเทศทางการ
ศึกษา ความจำเป็นในการพัฒนา
ระบบสารสนเทศ
1. ความจำเป็นในการพัฒนาระบบ สามารถจำแนกได้ 3 ประเด็น ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงกระบวนการบริหารและการปฏิบัติงาน
- การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
- การปรับองค์การและความได้เปรียบในการแข่งขัน
2. หลักในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ
- คำนึงถึงเจ้าของและผู้ใช้ระบบ
- เข้าถึงปัญหาให้ตรงจุด
- กำหนดขั้นตอนหรือกิจกรรมในการพัฒนาระบบ
- กำหนดมาตรฐานในการพัฒนาระบบ
- ตระหนักว่าการพัฒนาระบบเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง
- เตรียมความพร้อมหากจะต้องยกเลิก
- แตกระบบสารสนเทศที่จะพัฒนาออกเป็นระบบย่อย
- ออกแบบระบบให้สามารถรองรับต่อการขยายหรือการปรับเปลี่ยนในอนาคต

ชนิดของระบบสารสนเทศและการพัฒนาระบบ
1. ระบบประมวลผลรายการ (Transation Processing Systems : TPS)
- เป็นระบบที่ใช้เพื่อการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมทางการค้า หรือรายการที่เปลี่ยน
แปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ กัน การพัฒนาระบบจึงมุ่งเน้นไปที่กระบวนการ เพื่อ
ประมวลผลรายการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในขณะนั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการเพิ่ม
ประสิทธิภาพการประมวลข้อมูลให้กับงานในองค์กร
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems : TPS)
- เป็นระบบสารสนเทศที่ทำการคัดเลือกข้อมูลที่มีอยู่ใน TPS เพื่อนำมารวบรวมและ
จัดทำเสียใหม่ให้อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ตามที่ผู้บริหารแต่ละระดับต้องการ ดังนั้นผู้พัฒนา
ระบบ จึงต้องมีความเข้าใจอย่างดีว่าผู้บริหาร ต้องการสารสนเทศใดเพื่อใช้สำหรับการ
ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ
3. ระบบสนันสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems : DSS)
- เป็นระบบสาระสนเทศที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยการตัดสินใจของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ
ในเรื่องต่าง ๆ ขององค์กร ดังนั้นผู้พัฒนาระบบ จึงมักใช้วิธีการสร้างระบบต้นแบบ เพื่อ
ให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้ และปรับปรุงระบบต้นแบบไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้ใช้จะจะพอใจ
4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems : ES)
- เป็นระบบที่มีความแตกต่างอย่างมาก จากระบบสารสนเทศทั้ง 3 ชนิดข้างต้น เพราะ
ES เป็นระบบที่พยายามจะรวบรวมและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ใช้ หรือเป็นการอธิบายวิธี
การคิดที่ผู้เชี่ยวชาญใช้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ การพัฒนาระบบ จะมุ่งเน้นไปที่
การจัดหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในด้านหนึ่งด้านใดโดยเฉพาะ

วงจรการพัฒนาระบบงานและวิธีการพัฒนาระบบสารสนเทศ
1. วงจรการพัฒนาระบบ
- เป็นระเบียบวิธีการพัฒนาระบบที่เป็นที่รู้จักกันดีในหลาย ๆ องค์กร วิธีการนี้มีคุณสมบัติ
เด่นคือการแบ่งกระบวนการทำงานออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ หลายขั้นตอน ซึ่งอาจจะมีขั้น
ตอนและลำดับของขั้นตอนบางขั้นตอนที่ถูกปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เหมาะสม บางครั้งการ
พัฒนาระบบอาจอยู่ในลักษณะของการวนซ้ำของกิจกรรมบางอย่าง
2. วิธีการพัฒนาระบบสารสนเทศ
- สามารถทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการพัฒนาและลักษณะงาน

กระบวนการและขั้นตอนการจัดระบบสารสนเทศในสถาบันการศึกษา มีกระบวนสำคัญ คือ
- การเก็บรวบรวมข้อมูล
- การตรวจสอบข้อมูล
- การประมวลผลข้อมูล
- การจัดระเบียบข้อมูลหรือหน่วยเก็บ
- การวิเคราะห์ข้อมูล
- การนำข้อมูลไปใช้


บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการศึกษา
1 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
- เป็นการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ได้ด้วยตนเองผ่านคอมพิวเตอร์ที่เป็นผู้นำเสนอ ผู้เรียนสามารถปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับ คอมพิวเตอร์ได้ โดยทั่วไป CAT สามารถนำเสนอเนื้อหาได้ 6 รูปแบบ ดังนี้
1. รูปแบบการสอนหรือแบบทบทวน
2. รูปแบบการฝึกหัด
3. รูปแบบสถานการณ์จำลอง
4. รูปแบบเกมพื่อการสอน
5. การทดสอบ
6. การสาธิต
2. มิลติมีเดีย
- เป็นการนำสื่อหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวันดุ อุปกรณ์และวิธีการ เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพและประสิทะผลสูงสุดในการเรียนการสอน ปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ ร่วมด้วย เพื่อการผลิตหรือ
การควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเสนอข้อมูล ทั้ง ตัวอักษร ภาพกราฟฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์และเสียง

3. วีดิโอคอนเฟอร์เรนซ์
- เป็นระบบการสื่อสารสองทาง มีองค์ประกอบพื้นฐาน 2 ส่วน คือ เครือข่ายโทรคมนาคม และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ที่ผู้เรียนและผู้สอนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้ด้วยสื่อเดียวกันตลอด เวลา และมักใช้กับการเรียนการสอนเป็นกลุ่ม

4. ห้องสมุดเสมือน
- เป็นการทำงานของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีโทรคมนาคมผสมผสานกับ การจัดการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ แต่มีข้อจำกัด คือ ต้องใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากและต้องมีโปรแกรมการสืบ ค้นที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการบันทึกข้อมูลทุก รูปแบบ โดยมีลักษณะของข้อมูลที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย จึงต้องอาศัยระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในการส่งข้อมูล หากระบบเครือข่ายประสบปัญหาก็จะไม่อาจสืบค้นข้อมูลได้

สิ่งที่ได้รับรู้ในการเรียน วิชา การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ (ครั้งที่ 3)

ครั้งที่ 3

ในการเรียนครั้งที่ 3 นี้ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน อาจารย์ผู้สอนได้ให้เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง ผู้เรียนสามารถสมัครและสร้างBlogger ของตนเองได้ สำหรับตัวข้าพเจ้าเองไม่มีความชำนาญในด้านนี้มากนัก ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะทำความเข้าใจและเรียนรู้ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทำให้รู้สึกเครียดและวิตกกังวลมาก แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือการแนะนำจากเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ที่เรียนด้วยกันอย่างดี จึงสามารถปฏิบัติได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่คงต้องใช้ความพยายามศึกษาและเรียนรู้อีกมากกว่าจะชำนาญ.... ต้องขอขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ให้ความช่วยเหลือ